วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

ตุ๊กตา

ตุ๊กตา 

เป็นของเล่นสำหรับเด็ก 
ซึ่งอาจเป็นรูปร่างของ คน สัตว์ หรือ ตัวละครในนิยายที่ไม่มีอยู่จริง 
มักทำจากผ้าหรือพลาสติก 
โดยส่วนใหญ่นิยมทำมาในรูปแบบของเล่นมากกว่าหรือของตกตแต่งสถานที่









Mickey Minny Mouse (มิกกี้ มินนี่ เมาส์)

 Mickey Minny Mouse 


           มิกกี้ เมาส์ เป็นตัวการ์ตูนของค่ายดิสนีย์ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) โดย วอลเตอร์ อีลิส ดิสนีย์ และอับ ไอเวิร์กส เดิมทีพวกเขาเรียกมันว่า "มอร์ติเมอร์ เมาส์" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อตัวการ์ตูนนี้ใหม่เป็น มิกกี้ เมาส์ จากการแนะนำของภรรยาวอลต์ ดิสนีย์ เนื่องจากเธอเห็นว่ามันเป็นชื่อที่ดูจริงจังจนเกินไป
          ทั้งนี้ จุดกำเนิดของ มิกกี้ เมาส์ เกิดขึ้นขณะที่ วอล์ต อีลิส ดิสนีย์ (ขณะนั้นอายุ 27 ปี) นั่งอยู่บนรถไฟระหว่างทางมุ่งสู่ลอสแอนเจลิส เขาลงมือสเก็ตช์ภาพคาแรกเตอร์หนูเล็ก ๆ สวมกางเกงสีแดงขึ้นมา โดยมี อับ ไอเวิร์กส ออกแบบรูปร่างลักษณะ หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) มิกกี้ เมาส์ ก็ปรากฎตัวครั้งแรกในหนังการ์ตูนเงียบที่ชื่อว่า Plane Crazy แต่ก่อนที่การ์ตูนเรื่องนี้จะออกฉายนั้น ก็เริ่มมีการนำเสียงมาใส่ในภาพยนตร์ ทำให้ มิคกี้ เมาส์ เป็นหนังการ์ตูนที่มีการใส่เสียงเรื่องแรกในโลก ในชื่อเรื่องว่า Steamboat Willie

          การเปิดตัวครั้งแรกของ มิกกี้เมาส์ ในเรื่อง "Steamboat Willie" ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) ทำให้ มิกกี้เมาส์ กลายเป็นขวัญใจของเด็ก ๆ จวบจนปัจจุบัน โดยทางนิวยอร์กไทม์ เคยเขียนชื่นชมว่า มิกกี้ เมาส์ เป็นผลงานที่มีความคิดสร้างสรรค์เยี่ยมยอดและสนุก เพราะการ์ตูนเรื่องนี้มีจุดเด่นที่เพลงประกอบที่ไพเราะ ภาพ และฉากที่สวยงาม

          ลักษณะเด่นของ มิกกี้ เมาส์ เป็นเพียงหนูตัวเล็ก ๆ หูกลมใหญ่สีดำ แขนขาเล็กมาก สวมกางเกงเอี๊ยมสีแดง รองเท้าสีเหลือง มีบุคลิกที่มีความอดทน อดกลั้น ฉลาดหลักแหลม มองโลกในแง่ดี และกล้าหาญ ที่สำคัญ มิกกี้ เมาส์ มีสัญชาตญาณพิเศษในเรื่องของการสืบสวนสอบสวน และด้วยบุคลิกที่โดดเด่นในแง่นี้เองทำให้ตัวการ์ตูนตัวนี้ชอบที่จะใช้เหตุผลเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้กำลังเข้าสู้ จนสามารถเอาชนะศัตรูที่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่า ทำให้ มิกกี้เมาส์ สามารถเป็นที่รักและครองหัวใจของเด็ก ๆ และผู้คนทั่วโลกได้เป็นเวลาหลายทศวรรษ

          เป็นที่รู้กันดีว่า มิกกี้ เมาส์ ชอบร้องอุทาน "Gosh" หรือบางครั้งก็ "Oh boy!", "Aw-Gee" ,"Uh-Oh!" และยังชอบอ่าน Newsweek, time, Life, National Geographic, Good Housekeeping โดยมีหวานใจชื่อว่า มินนี่ เมาส์ ซึ่งเป็นตัวการ์ตูนที่ครองใจเด็ก ๆ ทั่วโลกเช่นกัน นอกจากนี้ มิกกี้เมาส์ ยังมีสุนัขสีน้ำตาลแสนรัก ชื่อว่า พลูโตที่เป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ ฉลาดและแสนรู้ 


 โดยเหล่าผองเพื่อน มิกกี้ เมาส์ ถือกำเนิดตามมาในช่วงปี ค.ศ. 1930- ค.ศ.1940 (พ.ศ.2473 – พ.ศ.2483) ได้แก่ มินนี่ เมาส์, กู๊ฟฟี่, พลูโต, โดนัลด์ ดั๊ก และอีกมากมาย โดย กุฟฟี่ ถูกสร้างขึ้นปี ค.ศ.1932 (พ.ศ. 2475) เป็นตัวการ์ตูนที่มีบุคลิกตลก และสนุกสนาน เขามักจะคอยกวนใจ มิกกี้ เมาส์ บ่อยครั้ง แต่ก็ช่วยคลายเศร้าให้กับเพื่อนได้เป็นอย่างดี และถือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด มักจะติดตาม มิกกี้ เมาส์ ไปทุกที่ และหาก กุฟฟี่ ได้รับประทานถั่วชนิดพิเศษเข้าไป เขาจะเปลี่ยนเป็น ซุปเปอร์กูฟ มีพลังเหมือนกับซุปเปอร์แมน สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว

          ส่วน มินนี่ เมาส์ ถูกสร้างโดย ฟอยด์ ก๊อตเฟรตสัน นักวาดการ์ตูนสร้าง มินนี่ เมาส์ ขึ้นมาเพื่อเป็นคู่หมั้นของ มิกกี้ เมาส์ และให้เป็นตัวแทนของความเป็นผู้หญิง มีบุคลิกที่อ่อนหวาน อ่อนไหว ชอบการต่อสู้และมีอารมณ์ที่ค่อนข้างหุนหันพลันแล่น ส่วนใหญ่แล้ว มินนี่ เมาส์ จะปรากฏตัวในห้องครัว ขณะที่ทำเค้กกับคาร์ราเบลล่า ซึ่งเป็นเพื่อนของมินนี่ เมาส์ 


          นอกจากนี้ ยังมี โดนัลด์ ดั๊ก ตัวการ์ตูนที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นคู่ปรับกับ มิกกี้ เมาส์ เพราะในขณะที่ดิสนีย์วางบุคลิก มิกกี้ เมาส์ ให้เป็นตัวการ์ตูนที่ดูใจดี ไม่คิดร้ายกับใคร แต่กลับวางบุคลิกของโดนัล ด์ ดั๊ก ให้เป็นเป็ดจอมโวย มีนิสัยขี้โมโหฉุนเฉียว โดย โดนัลด์ ดั๊ก ปรากฎตัวในการ์ตูนของดิสนีย์หลากหลายเรื่องทั้งทางจอเงินและจอแก้ว

          ในปี ค.ศ.1950 (พ.ศ.2493) มิกกี้ เมาส์ ก็เริ่มมีรายการทีวีเป็นของตัวเองในชื่อรายการ "The Mickey Mouse Club" ซึ่ง มิกกี้เมาส์ ก็เหมือนตัวการ์ตูนดาวค้างฟ้าตัวอื่น ๆ ที่ไม่มีวันแก่ เปรียบเสมือนเป็นมาสคอตแห่งโลกการ์ตูนของฝั่งอเมริกา เช่นเดียวกับ โดราเอม่อน ที่เป็นเสมือนมาสคอตของตัวการ์ตูนของทางฝั่งญี่ปุ่น

          มาถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 82 ปีแล้วที่ มิกกี้เมาส์ ครองใจเด็ก ๆ และผู้คนทั่วโลก ซึ่งแม้ว่า มิกกี้ เมาส์ จะเป็นเพียงหนูตัวเล็ก ๆ แต่เขาก็สร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ผ่านเรื่องราวดี ๆ ที่แฝงแง่คิดและความสนุกสนาน ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิดอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งโลกการ์ตูน ในนาม วอลต์ ดิสนีย์ ดังคำกล่าวของ วอลเตอร์ อีลิส ดิสนีย์ ที่ว่า...

          "I hope we never lose sight of on thing…that this was all star by a mouse" ...ดีสนีย์ยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะเราเริ่มต้นจากหนูตัวเล็ก ๆ

ตุ๊กตา Stitch

                                                                 " Stitch "

           ชีวิต มีความท้าทายรออยู่สำหรับ ลีโล่ เด็กหญิงเหงาๆ ชาวฮาวาย ที่ใช้ชีวิตอยู่กับพี่สาววัย 19 ชื่อ นานี่ สาวน้อยทั้งสองดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงดูตนเองแต่อะไรๆ ไม่ได้ดำเนินไปอย่างสวยงามนัก เมื่อ คอบร้า บับเบิลส์ นักสังคมสงเคราะห์จอมเครียดแวะมาเยี่ยม เขาก็พบสองสาวพี่น้องกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาจึงเตือนนานี่ว่า เธอมีเวลาเหลืออีกแค่ 3 วันเท่านั้น ในอันที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เหมาะสมแก่การทำหน้าที่ดูแลลีโล่ได้ หาไม่แล้วสถานการณ์ในบ้านหลังนี้ จะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน และแล้วในเย็นวันนั้น ลีโล่ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"


           แต่ ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ สติทช์ สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ "การทดลอง 626") ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อ จัมบ้า ผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึงสติทช์ว่า เป็นอะไรที่ "กันกระสุน กันไฟ และคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก มันมองเห็นได้ในความมืด และยกวัตถุอะไรๆ ที่ใหญ่โตกว่าตัวมันถึง 3 พันเท่าได้ สัญชาตญาณอย่างเดียวของมันก็คือ.. ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสัมผัส" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ในสายตาของสมาชิกสภาหญิง แห่งสหพันธ์กาแล็กติค เธอจึงจับจัมบ้าเข้าคุก และพิพากษาให้ส่งตัวสติทช์ ไปยังดาวเคราะห์น้อยไกลลิบ แต่ก่อนที่กัปตันแกนทู จะลงมือกำจัดสติทช์ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูง หนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่า จะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับสติทช์กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย (โดยความรู้ทั้งมวลที่พลีคลี่ย์มีเกี่ยวกับโลกนั้น ได้มาจากการดูภาพใน View-master® ล้วนๆ )

            ฝ่ายสติทช์นั้นบังคับยานมาถึงโลก และเคราะห์ร้ายดิ่งเข้าใส่รถบรรทุกน้ำตาลทรายเต็มเปา เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า ตัวเองอยู่ในบ้านดูแลสัตว์หลังหนึ่ง และฉายแววเสน่ห์น่ารักเข้าตา จนลีโล่เก็บมันไปเลี้ยง (พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า สติทช์) ทักษะสุดล้ำหน้า ทำให้มันสามารถเก็บซ่อนแขนขาพิเศษ (จาก 6 เหลือ 4 ข้าง), เสาอากาศและเดือยบนหลังได้ เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนหมาหน้าตาพิลึกๆ ตัวหนึ่ง แม้พี่สาวของลีโล่ และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรักสติทช์ และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่สติทช์เองก็รู้ว่า ลีโล่กับนานี่มีที่คุ้มภัย ให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยง และทำตัว "ติดหนึบ" กับครอบครัวใหม่ของมันทันที
แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย สติทช์เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อลีโล่พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ สติทช์ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้นลีโล่ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่าง เหมือนฮีโร่ของเธอคือ เอลวิส เพรสลี่ย์ ด้วย เดวิด คาเวน่า แฟนเก่า และเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่งสติทช์ก็สามารถเอาชนะ อาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลาคอบ ร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตา จึงบอกกับนานี่ว่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากแยกตัวลีโล่ไปซะ สติทช์จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า มันกำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า ('ohana - ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึงแนวคิดเรื่องครอบครัว ที่จะไม่มีการทอดทิ้ง หรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของลีโล่ก็จางลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อสมาชิกสภาหญิง ไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออก เพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตามสติทช์ ไปถึงบ้านของลีโล่กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัวสติทช์ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง 

           ในช่วงเวลาที่อะไรๆ เลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทูก็เดินทางมา พร้อมยานลำยักษ์ เพื่อจับตัวสติทช์ มันหนีไปได้ แต่ลีโล่กลับถูกจับแทน สติทช์ซึ่งตระหนักในที่สุดว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลีโล่กับนานี่ จึงเกลี้ยกล่อมจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ ให้ร่วมแรงกันช่วยลีโล่ออกมา การไล่ล่าอันดุเดือดทั่วเกาะฮาวายจึงเกิดขึ้น และสติทช์สามารถช่วยลีโล่ออกมาได้สำเร็จ ร้อนถึงสมาชิกสภาหญิง ต้องตัดสินใจออกมาเป็นผู้ควบคุมตัวสติทช์เอง และเกมนี้ดูเหมือนจะจบสิ้นลงในที่สุด แต่.. กฎของเกมก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ใครๆ คาดคิด!

ตุ๊กตา สปอนบ๊อบ


       “Spongebob Squarepants” 
           “Spongebob Squarepants” คือชื่อของฟองน้ำ ซึ่งมีเพื่อนบ้านเป็นปลาหมึก สควิดวอร์ด (Squidward) และเพื่อนสนิทของเจ้าฟองน้ำ เป็นปลาดาว แพ็ททริก (Patrick Star) พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองใต้น้ำแห่ง “Bikini Bottom” ซึ่งเป็นเมืองที่มีลักษณะทางกายภาพเหมือนเมืองทั่วไป มีอาคาร ตึกรามบ้านช่อง มีระบบการคมนาคม มีสนามบิน ฯลฯ จะต่างกันแค่เมืองนี้อยู่ใต้ทะเลเท่านั้นเอง
           
          เจ้าฟองน้ำ บ็อบ มีสัตว์เลี้ยงเป็นของตนเองด้วย เป็นหอยทากน้อย (Gary) ซึ่งเปล่งเสียงร้องคล้ายแมว.. ชีวิตของเขาก็เป็นแบบเรียบง่าย ทำงานเป็นพ่อครัวในภัตตาคารฟาสต์ฟู้ด “Krusty Krab” ร่วมกับปลาหมึกสควิดวอร์ด ที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานรับจ่ายเงิน ร้านนี้ผู้เป็นเจ้าของกิจการก็คือ พี่ปูก้ามใหญ่ มิสเตอร์แครบ (Mr. Krabs) ร้านนี้เป็นที่รู้จักกันมาก เสียจนมีร้านคู่แข่ง “Chum Bucket” ที่มี แพลงค์ตอน (Sheldon J. Plankton : “Plankton”) เจ้าของกิจการ จ้องจะขโมยสูตรไปเป็นของตนอยู่ตลอด เนื่องจากร้านของแพลงค์ตอนนี้ไม่เคยมีลูกค้าเลย ทางมิสเตอร์แครบเองก็ใช่ว่าจะพิกเฉยต่อเรื่องนี้ เลยสั่งกับพนักงานของตนทุกคนว่า ให้คอยเก็บรักษาสูตรลับซึ่งถือเป็นสมบัติสำคัญของร้านให้ดี อย่าให้ใครมาขโมยไปได้
           แต่ในโลกใต้น้ำนี้ ก็ไม่ได้มีแค่สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่ออาศัยในน้ำเท่านั้น กระรอกสาว แซนดี้ (Sandy Cheeks) คือหนึ่งในนั้น เธออาศัยอยู่ในโดมแก้วใต้น้ำซึ่งเป็นบ้านของเธอ ภูมิลำเนาเดิมของเธอคือที่ Texas ถูกส่งตัวมาที่เมือง Bikini Bottom นี้ โดยคำสั่งของใครคนหนึ่ง (ภายหลังมีการเปิดเผยว่าบอสของเธอเป็นลิงชิมแปนซี ในตอนที่ชื่อ Chimp Ahoy) แซนดี้เป็นหนึ่งในคนที่บ็อบรู้จักด้วย จากการที่บ็อบได้ช่วยชีวิตแซนดี้ให้รอดจากหอยกาบยักษ์จอมตะกละ ทำให้แซนดี้ประทับใจและขอเป็นเพื่อนกับบ็อบในเวลาต่อมา
           ชีวิตในแต่ละวัน สปอนจ์บ็อบต้องเผชิญกับหลายๆ อย่างในชีวิตของเขา ซึ่งมีทั้งสุข ทุกข์ เรื่องดีๆ เรื่องเครียดๆ หรือเรื่องไม่เป็นเรื่องต่างๆ เหล่านั้นเป็นสิ่งที่คอยให้ประสบการณ์แก่เขา ให้เขาได้เรียนรู้ และเข้าใจกับคำว่า “ชีวิต” สปอนจ์บ็อบใฝ่ฝันไว้ว่าในอนาคต เขาจะเป็นพ่อครัวมือหนึ่งแห่ง Bikini Bottom ให้ได้

Blythe (บลายธ์) ตุ๊กตาเจ้าเสน่ห์

         " Blythe 


          ตาโต หน้ากลม ขนตางอนงาม ปากนิด จมูกหน่อย อะๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกล เรากำลังบรรยารูปร่างหน้าตาของ "Blythe" แหม...งงล่ะสิว่า "Blythe" คืออะไร งั้นเฉลยค่ะ "Blythe" คือตุ๊กตาสาวน้อยแสนสวยที่กำลังอินเทรนด์ในหมู่วัยรุ่น (คล้ายๆ ตุ๊กตาบาร์บี้) ทั้งที่ความจริงแล้วสาว Blythe เข้ามาสร้างความสดใสให้สาวๆ ตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว เชื่อว่าถ้าเห็นหลายคนคงร้องอ๋อ เพราะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี แต่ก็มีอีกหลายคนอยากรู้ว่าสาว Blythe จะน่ารักขนาดไหน และมีคุณสมบัติพิเศษอะไรทำไม๊...ทำไมถึงฮิตฮอตซะขนาดนั้น ถ้างั้นก็อย่าช้าตามเข้ามาหาคำตอบกันเลย... 





          Blythe อ่านออกเสียงว่า Blahyth หรือ Blind (บลายธ์) เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบให้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2515 (ค.ศ. 1972) โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐอเมริกา นามว่า เค็นเนอร์ (Kenner) ภายใต้ concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตา และหลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นชื่อดังที่สุดในโลก ให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น  


          โดย Allison Katzman ได้หยิบเอาดวงตาที่ตั้งใจจะใช้กับตุ๊กตาสุนัขมาใส่ในตัว Blythe ส่วนลำตัวแรกๆ ก็มีขนาดได้สัดส่วนกับหัวที่มีขนาดใหญ่ แต่ปรากฏว่ากล่องใส่มีขนาดสั้น จึงต้องลดสัดส่วนความยาวลำตัวให้บรรจุได้พอดี ตุ๊กตาบลายธ์จึงหัวโตตัวสั้น ดูเหมือนการ์ตูน แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆ ทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้ 


          ซึ่งสาว Blythe ปรากฎตัวครั้งแรกพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องแต่งกายสไตล์วินเทจที่มีให้ Mix & Match กว่า 12 ชุด โมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe, Karess, Willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา แต่ด้วยความที่อยากให้ตุ๊กตา Blythe ล้ำยุค และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร รูปลักษณ์ภายนอกของสาวบลายธ์จึงถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น หัวโต ตัวผอม ความสูง 11.5 นิ้ว มีดวงตากลมโตเท่าไข่ห่านที่หลับได้เปิดได้ แถมเวลาเปิดเปลือกตาแต่ละครั้ง เธอสามารถเปลี่ยนสีดวงตาได้ถึง 4 สี คือ เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน  


          เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ และ Blythe สามารถบิดเอวและเข่าได้ เพื่อให้เปลี่ยนชุดได้ง่ายและสามารถโพสต์ท่าเหมือนนางแบบ ทำให้กลับกลายเป็นว่าเด็กๆ ต่างพากันหวาดกลัวตุ๊กตาตัวแรกของโลก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น 


          จากนั้นในปี 2545 (ค.ศ. 2002) หรือ 30 ปี ต่อมาสาว Blythe ก็กลับมาได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมอีกครั้ง เพราะหลังจากที่ Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้รับตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญ ทำให้เธอตกหลุมรักมันพร้อมๆ กับถ่ายภาพเธอ Blythe เก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายชื่อ "This is Blythe" รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 และจัดนิทรรศการแสดงภาพถ่าย ที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก 


          หลังจากที่ Hasbro (ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม $35 เป็น $350 ทันที  

          และในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า "Neo Blythe" และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆ ของ Neo Blythes (นีโอ บลายธ์) เกิดขึ้นมากมายกว่า 37 แบบ ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก Parco Limited Edition (1,000 ตัว) ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian, Rosie Red, Holly Wood, All Gold in One, Kozy Kape inspired, Aztec Arrival inspired, Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษ ที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิด ครบรอบ 1 ปี ของ Neo Blythes  


          และยังมีเซอร์ไพรสให้กับ์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า "Petite Blythe" (พีทิต บลายธ์) ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4.5 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆ กับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆ ให้ดูมีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้น และมีออกมาทั้งหมด 48 แบบ  


          ซึ่งคอลเลกชั่นนี้ถือว่าโดดเด่น และได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly, Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว Blythe Belle ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลอง และย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น 

ตุ๊กตาหมี เท็ดดี้

           " Teddy Bear "


          ในปัจจุบันนี้ ตุ๊กตาหมี หรือ Teddy Bearก็ยังเป็นตุ๊กตาที่สื่อได้ถึงความอบอุ่น ความห่วงใย และความปราถนาดีจากผู้ให้ถึงผู้รับได้ดี ทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เด็ก หรือ ผู้ใหญ่ สื่อแทนใจนี้ทำให้ตุ๊กตาหมีมีความเป็นอมตะในตัวเอง  ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยแล้วก็ตาม 

          ปัจจุบันตุ๊กตาหมีได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในฐานะเป็นของสะสมสำหรับเด็ก-ผู้ใหญ่
สำหรับตุ๊กตาของเรามีความแข็งแรง  ชนิดของผ้าที่ใช้ทำตุ๊กตาจะต้องเป็นผ้าชนิดที่ขนไม่หลุดร่วงง่าย  ถ้าเป็นตุ๊กตาหมี ชนิดหมุนแขนหมุนขาได้ จะต้องมีความแข็งแรงที่เด็กไม่สามารถดึงออกมาเองได้ ในส่วนของลูกตาของตุ๊กตาจะต้องมีการตอกยึดกับผ้าไม่ให้หลุดออกมาโดยง่าย 





         เรื่องราวในสหรัฐอเมริกาเล่ากันว่า เทดดี้แบร์มาจากการวาดของนักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองที่ชื่อ คลิฟฟอร์ด เบอร์รีแมน วาดภาพที่ชื่อว่า "Drawing the Line in Mississippi" เป็นภาพประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ปฏิเสธจะยิงลูกหมีที่ถูกจับล่ามเอาไว้กับต้นไม้ ตามเรื่องราวที่เล่ากันมาบอกว่า ประธานาธิบดีรูสเวลท์ เดินทางไปมลรัฐมิสซิสซิปเพื่อช่วยเจรจาแบ่งเส้นพรมแดนที่มีปัญหากับรัฐลุยส์เซียน่า เจ้าภาพให้การต้อนรับผู้นำของประเทศโดยชวนไปล่าหมีในป่า แต่โชคร้ายที่ไม่พบหมีให้ล่า จึงมีคนหัวใสนำเอาลูกหมีมาให้ยิง แต่ประธานาธิบดีปฏิเสธที่จะยิงหมีที่ถูกล่ามเช่นนั้น ทำให้นายเบอร์รีแมนนักวาดภาพการ์ตูนประทับใจจึงวาดภาพนี้ขึ้นมา 

         การ์ตูนปรากฏใน เดอะวอชิงตันโพสต์ ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน 1902 และเป็นที่กล่าวขวัญกันมาก เป็นแรงบันดาลใจให้สามีภรรยาที่ชื่อ มอร์ริสและโรส มิชทอมส์ ซึ่งอยู่ในนิวยอร์คทำ ตุ๊กตาหมีขึ้น เพื่อยกย่องการกระทำของประธานาธิบดีรูสเวลท์ ครอบครัวมิชทอมส์ตั้งชื่อ ตุ๊กตาหมี ของตนว่า “ เทดดี้แบร์ ” มาจาก เทดดี้ อันเป็นชื่อเล่นของ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ และนำวางโชว์ที่ตู้กระจกหน้าร้านขายลูกกวาดและเครื่องเขียนของตน ตุ๊กตาที่วางโชว์หน้าร้านตัวนี้ ต่างจาก ตุ๊กตาหมี ที่เคยทำกันมาซึ่งมักจะมีหน้าตาดุร้าย และยืนสี่ขาเหมือนกับหมีจริง แต่หมีของครอบครัวมิชทอมส์เป็นลูกหมีดูน่ารัก ไร้เดียงสา ทำให้ ตุ๊กตาหมี “ เทดดี้แบร์ ” ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนครอบครัวมิชทอมส์สามารถตั้งโรงงานผลิต ตุ๊กตาหมี ขึ้นเป็นครั้งแรกในอเมริกา ที่ชื่อว่า Ideal Novelty and Toy 
ภาพการ์ตูนในวอชิงตันโพสต์ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร ริชาร์ด ชไตฟ์ ชายหนุ่มผู้ทำงานกับป้า  Margarete Steiff นักธุรกิจของเล่นเด็กในเยอรมัน ริชาร์ดเรียนมาทางด้านศิลปะ เขาชอบวาดรูป และไปที่สวนสัตว์ในสตุตการ์ตบ่อย ๆ เชไตฟ์ จะทำ ตุ๊กตาหมี ในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ขณะนั้นการสื่อสารยังไม่เจริญเท่าใด ทั้งคู่จึงไม่ล่วงรู้ถึงความคิดสร้างสรรค์ของกันและกัน ตุ๊กตาหมี ของมิชทอมส์เป็นลูกหมีตาโต ตามการ์ตูนที่วาดโดยเบอร์รี่แมน ส่วนของหมีชไตฟ์มีลักษณะหลังค่อม จมูกยาว ดูเหมือนลูกหมีจริง ๆ มากกว่า 

         ไม่นานหลังจากนั้น เดือนมีนาคมปี 1903 ในงานแสดงของเล่น เมืองลิปซิกในเยอรมัน ชไตฟ์เปิดตัว ตุ๊กตาหมี ครั้งแรกในงานนี้ แต่พ่อค้าชาวยุโรปไม่ค่อยให้ความสนใจนัก ตรงกันข้ามพ่อค้าของเล่นชาวอเมริกัน ซึ่งรู้ว่าชาวอเมริกันกำลังสนใจ “ เทดดี้แบร์ ” จึงสั่งซื้อทีเดียว 3,000 ตัว ชไตฟ์จึงเข้าสู่ตลาดอเมริกาในจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมอย่างที่สุด
คนอเมริกันคลั่งใคล้ ตุ๊กตาหมี เทดดีแบร์ถึงขีดสุดๆพอ ๆ กับความนิยมตุ๊กตาหัวกะหล่ำปลี (Cabbage Patch Kid) ในทศวรรษปี 1980 และตุ๊กตาบีนนี่บาบี้ (Beanie Babie) ในทศวรรษปี 1990 

เวลานั้นสาว ๆ ถือ ตุ๊กตาหมี กันไปทุกหนแห่ง เด็กๆ นิยมถ่ายรูปคู่กับตุ๊กตาเทดดี้แบร์ ประธานาธิบดีรูสเวลต์ ใช้ ตุ๊กตาหมี เป็นสัญญลักษณ์ในการหาเสียงเลือกตั้งจนได้เป็น
ประธานาธิบดีในสมัยที่สอง
ซีมัวร์ อีตัน นักการศึกษาและคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์เขียนหนังสือชุดสำหรับเด็กเกี่ยวกับการผจญภัยของหมีที่ชื่อรูสเวลต์นี้ 

          และล่าสุดKanye  West เจ้าของเพลงฮิต Stronger 
ที่กำลังมาแรงไต่อยู่อันดับที่ 6 ของThe Billboard Hot Top10ในสัปดาห์นี้ (25 สิงหาคม 2550)ใช้ปกแผ่นที่ต้องมีตุ๊กตาหมีเทดดี้ แบร์เป็นเครื่องหมายแห่งโชคลาภของเขาทุกครั้ง
(Let me be your) Teddy Bear เป็นเพลงเอกจาก ภาพยนตร์เรื่อง Loving You นำแสดงโดย เอลวิส เมื่อปี 1957 จากนั้นมาเทดดี้แบร์กลายเป็นสัญญลักษณ์ที่คนทั้งโลกรู้จัก และพากันคลั่งใคล้ตุ๊กตาหมีเทดดี้แบร์